การจัดประสบการณ์ การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
รูปแบบการจัดการศึกษา
•การศึกษาปกติทั่วไป (Regular Education)
•การศึกษาพิเศษ (Special Education)
•การศึกษาแบบเรียนร่วม (Integrated
Education หรือ Mainstreaming)
•การศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive
Education)
การจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
•เด็กที่มีความต้องการพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการพิเศษของเขา
ความหมายของการศึกษาแบบเรียนร่วม
(Integrated Education หรือ Mainstreaming)
•การจัดให้เด็กพิเศษเข้าไปในระบบการศึกษาทั่วไป
•มีกิจกรรมที่ให้เด็กพิเศษกับเด็กทั่วไปได้ทำร่วมกัน
•ใช้ช่วงเวลาช่วงใดช่วงหนึ่งในแต่ละวัน
•ครูปฐมวัยและครูการศึกษาพิเศษร่วมมือกัน
การเรียนร่วมบางเวลา (Integration)
•การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติในบางเวลา
•เด็กพิเศษได้มีโอกาสแสดงออก
และมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กปกติ
•เป็นเด็กพิเศษที่มีความพิการระดับปานกลางถึงระดับมาก
จึงไม่อาจเรียนร่วมเต็มเวลาได้
การเรียนร่วมเต็มเวลา (Mainstreaming)
•การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติตลอดเวลาที่เด็กอยู่ในโรงเรียน
•เด็กพิเศษได้รับการจัดกระบวนการเรียนรู้และบริการนอกห้องเรียนเหมือนเด็กปกติ
การเรียนร่วมเต็มเวลา (Mainstreaming)
•การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติตลอดเวลาที่เด็กอยู่ในโรงเรียน
•เด็กพิเศษได้รับการจัดกระบวนการเรียนรู้และบริการนอกห้องเรียนเหมือนเด็กปกติ
การเรียนร่วมเต็มเวลา (Mainstreaming) ต่อ
•มีเป้าหมายเพื่อให้เด็กเข้าใจซึ่งกันและกัน
ตอบสนองความต้องการซึ่งกันและกันและมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
•เด็กปกติจะยอมรับความหลากหลายของมนุษย์
เข้าใจว่าคนเราเกิดมาไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกอย่าง ท่ามกลางความแตกต่างกัน
มนุษย์เราต้องการความรัก ความสนใจ ความเอาใจใส่เช่นเดียวกันทุกคน
ความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม
(Inclusive Education)
•การศึกษาสำหรับทุกคน
•รับเด็กเข้ามาเรียนรวมกันตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษา
•จัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล
Wilson
, 2007
•การจัดการเรียนการสอนที่ยึดปรัชญาของการอยู่รวมกัน (Inclusion) เป็นหลัก
•การสอนที่ดี
เป็นการสอนที่ครูกับนักเรียนช่วยกันให้ทุกคนเป็นสมาชิกที่ดีของชุมชน
Wilson
, 2007 (ต่อ)
•กิจกรรมทุกชนิดที่จะนำไปสู่การสอนที่ดี
(Good Teaching) ต้องคิดอย่างรอบคอบเพื่อหาหนทางให้นักเรียนทุกคนสามารถเรียนได้
•เป็นการกำหนดทางเลือกหลายๆ ทาง
Inclusive Education is Education for all,
It involves
receiving people
at the
beginning of their education,
with provision
of additional services
needed by each individual"
สรุปความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม
•เป็นการจัดการศึกษาที่จัดให้เด็กพิเศษเข้ามาเรียนรวมกับเด็กปกติ
โดยรับเข้ามาเรียนรวมกัน
ตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษาและจัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล
•เด็กพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการพิเศษของเขา
สรุปความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม (ต่อ)
•เกิดจากปรัชญาการศึกษาที่กล่าวไว้ว่า
การศึกษาสำหรับทุกคน
(Education for All)
•การเรียนรวม
เป็นแนวคิดทางการศึกษาอย่างหนึ่งที่โรงเรียนจะต้องจัดการศึกษาให้กับเด็กทุกคนโดยไม่มีการแบ่งแยกว่าเด็กคนใดเป็นเด็กปกติ
หรือเด็กคนใดเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
สรุปความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม (ต่อ)
•เด็กเลือกโรงเรียนไม่ใช่โรงเรียนเลือกเด็ก
•เด็กทุกคนที่ผู้ปกครองพาเข้ามาโรงเรียนทางโรงเรียนจะต้องรับเด็กไว้
และจะต้องจัดการศึกษาให้อย่างเหมาะสม และดำเนินการเรียนในลักษณะ “รวมกัน”
ที่ทุกคนต่างเป็นส่วนหนึ่ง ของสังคม ทุกคนยอมรับซึ่งกันและกัน
สรุปความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม (ต่อ)
•ทุกคนยอมรับว่ามี
ผู้พิการ
อยู่ในสังคมและเขาเหล่านั้นต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่จะต้องใช้ชีวิตร่วมกันกับคนปกติ
โดยไม่มีการแบ่งแยก
ความสำคัญของการศึกษาแบบเรียนรวม
สำหรับเด็กปฐมวัย
•ปฐมวัยเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดของการเรียนรู้
•“สอนได้”
•เป็นการจัดการศึกษาสำหรับเด็กพิเศษที่มีขีดจำกัดน้อยที่สุด
บทบาทครูปฐมวัยในห้องเรียนรวม
ครูไม่ควรวินิจฉัย
•การวินิจฉัย
หมายถึงการตัดสินใจโดยดูจากอาการหรือสัญญาณบางอย่าง
•จากอาการที่แสดงออกมานั้นอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้
ครูไม่ควรตั้งชื่อหรือระบุประเภทเด็ก
•เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
•ชื่อเปรียบเสมือนตราประทับตัวเด็กตลอดไป
•เด็กจะกลายเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ครูไม่ควรบอกพ่อแม่ว่าเด็กมีบางอย่างผิดปกติ
•พ่อแม่ของเด็กพิเศษ
มักทราบดีว่าลูกของเขามีปัญหา
•พ่อแม่ไม่ต้องการให้ครูมาย้ำในสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว
•ครูควรพูดในสิ่งที่เป็นความคาดหวังในด้านบวก
แต่ต้องไม่ให้เกิดความหวังผิดๆ
•ครูควรรายงานผู้ปกครองว่าเด็กทำอะไรได้บ้าง
เท่ากับเป็นการบอกว่าเด็กทำอะไรไม่ได้
•ครูช่วยให้ผู้ปกครองมีความหวังและเห็นแนวทางที่จะช่วยให้เด็กพัฒนา
ครูทำอะไรบ้าง
•ครูสามารถชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมของเด็กในเรื่องที่เกี่ยวกับพัฒนาการต่างๆ
•ให้ข้อแนะนำในการหาบุคลากรที่เหมาะสมในการประเมินผลหรือวินิจฉัย
•สังเกตเด็กอย่างมีระบบ
•จดบันทึกพฤติกรรมเด็กเป็นช่วงๆ
สังเกตอย่างมีระบบ
•ไม่มีใครสามารถสังเกตอย่างมีระบบได้ดีกว่าครู
•ครูเห็นเด็กในสถานการณ์ต่างๆ
ช่วงเวลายาวนานกว่า
•ต่างจากแพทย์ นักจิตวิทยา
นักคลินิก มักมุ่งความสนใจอยู่ที่ปัญหา
การตรวจสอบ
•จะทราบว่าเด็กมีพฤติกรรมอย่างไร
•เป็นแนวทางสำคัญที่ทำให้ครูและพ่อแม่เข้าใจเด็กดีขึ้น
•บอกได้ว่าเรื่องใดบ้างที่เด็กต้องการความช่วยเหลือ
ข้อควรระวังในการปฏิบัติ
•ครูต้องไวต่อความรู้สึกและตัดสินใจล่วงหน้าได้
•ประเมินให้น้ำหนักความสำคัญของเรื่องต่างๆได้
•พฤติกรรมบางอย่างของเด็กไม่ได้ปรากฏให้เห็นเสมอไป
การบันทึกการสังเกต
•การนับอย่างง่ายๆ
•การบันทึกต่อเนื่อง
•การบันทึกไม่ต่อเนื่อง
การนับอย่างง่ายๆ
•นับจำนวนครั้งของการเกิดพฤติกรรม
•กี่ครั้งในแต่ละวัน
กี่ครั้งในแต่ละชั่วโมง
•ระยะเวลาในการเกิดพฤติกรรม
การบันทึกต่อเนื่อง
•ให้รายละเอียดได้มาก
•เขียนทุกอย่างที่เด็กทำในช่วงเวลาหนึ่ง
หรือช่วงกิจกรรมหนึ่ง
•โดยไม่ต้องเข้าไปแนะนำช่วยเหลือ
การบันทึกไม่ต่อเนื่อง
•บันทึกลงบัตรเล็กๆ
•เป็นการบันทึกสั้นๆเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กแต่ละคนในช่วงเวลาหนึ่ง
การเกิดพฤติกรรมบางอย่างมากเกินไป
•ควรเอาใจใส่ถึงระดับความมากน้อยของความบกพร่อง
มากกว่าชนิดองความบกพร่อง
•พฤติกรรมไม่เหมาะสมที่พบได้ในเด็กทุกคน
ไม่ควรจัดเป็นสิ่งผิดปกติ
การตัดสินใจ
•ครูต้องตัดสินใจด้วยความระมัดระวัง
•พฤติกรรมของเด็กที่เกิดขึ้น
ไปขัดขวางความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กหรือไม่
8.เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
(Children with Behavioral and Emotional Disorders)•มีความรู้สึกนึกคิดที่ผิดไปจากปกติ•แสดงออกถึงความต้องการทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น•มีความเชื่อมั่นในตนเองต่ำ•เด็กที่มีการควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในสภาพปกตินาน ๆ ไม่ได้•เด็กที่ควบคุมพฤติกรรมบางอย่างของตนเองไม่ได้•ทำให้ไม่สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเรียบร้อยลักษณะของเด็กบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์•ความวิตกกังวล (Anxiety) ซึ่งทำให้เด็กมีนิสัยขี้กลัว•ภาวะซึมเศร้า (Depression) มีความเศร้าในระดับที่สูงเกินไป•ปัญหาทางสุขภาพ
และขาดแรงกระตุ้นหรือความหวังในชีวิต
การจำแนกเด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ ตามกลุ่มอาการด้านความประพฤติ (Conduct
Disorders)•ทำร้ายผู้อื่น
ทำลายสิ่งของ ลักทรัพย์•ฉุนเฉียวง่าย
หุนหันพลันแล่น และเกรี้ยวกราด•กลับกลอก เชื่อถือไม่ได้
ชอบโกหก ชอบโทษผู้อื่น•เอะอะและหยาบคาย•หนีเรียน
รวมถึงหนีออกจากบ้าน•ใช้สารเสพติด•หมกมุ่นในกิจกรรมทางเพศด้านความตั้งใจและสมาธิ (Attention and
Concentration) •จดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งในระยะสั้น
(Short attention
span) อาจไม่เกิน
20 วินาที•ถูกสิ่งต่างๆ
รอบตัวดึงความสนใจได้ตลอดเวลา•งัวเงีย
ไม่แสดงความสนใจใดๆ รวมถึงมีท่าทางเหมือนไม่ฟังสิ่งที่ผู้อื่นพูด
สมาธิสั้น (Attention
Deficit)•มีลักษณะกระวนกระวาย
ไม่สามารถนั่งนิ่งๆ ได้ หยุกหยิกไปมา•พูดคุยตลอดเวลา
มักรบกวนหรือเรียกร้องความสนใจจากผู้อื่น•มีทักษะการจัดการในระดับต่ำ
การถอนตัวหรือล้มเลิก (Withdrawal)•หลีกเลี่ยงการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
และมักรู้สึกว่าตนเองด้อยกว่าผู้อื่น•เฉื่อยชา
และมีลักษณะคล้ายเหนื่อยตลอดเวลา•ขาดความมั่นใจ ขี้อาย
ขี้กลัว ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก
ความผิดปกติในการทำงานของร่างกาย(Function Disorder)•ความผิดปกติเกี่ยวกับพฤติกรรมการกิน (Eating Disorder)•การอาเจียนโดยสมัครใจ (Voluntary
Regurgitation)•การปฏิเสธที่จะรับประทาน•รับประทานสิ่งที่รับประทานไม่ได้•โรคอ้วน (Obesity)•ความผิดปกติของการขับถ่ายทั้งอุจจาระและปัสสาวะ
(Elimination Disorder)
ภาวะความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ระดับรุนแรง•ขาดเหตุผลในการคิด•อาการหลงผิด (Delusion)•อาการประสาทหลอน (Hallucination)•พฤติกรรมการทำร้ายตัวเองสาเหตุ•ปัจจัยทางชีวภาพ (Biology)•ปัจจัยทางจิตสังคม (Psychosocial)
ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเด็ก
•ไม่สามารถเรียนหนังสือได้เช่นเด็กปกติ•รักษาความสัมพันธ์กับเพื่อนหรือกับครูไม่ได้•มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เมื่อเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน•มีความคับข้องใจ มีความเก็บกดอารมณ์•แสดงอาการทางร่างกาย เช่น ปวดศีรษะ ปวดตามส่วนต่าง ๆ
ของร่างกาย•มีความหวาดกลัว
เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรม
ซึ่งจัดว่ามีความรุนแรงมาก•เด็กสมาธิสั้น (Children with
Attention Deficit and Hyperactivity Disorders)•เด็กออทิสติก (Autistic) หรือ ออทิสซึ่ม (Autisum)
เด็กสมาธิสั้น (Children with
Attention Deficit Hyperactivity Disorders)
ADHD
เป็นภาวะผิดปกติทางจิตเวชมีลักษณะเด่นอยู่ 3 ประการ คือ •Inattentiveness•Hyperactivity•Impulsiveness
Inattentiveness (สมาธิสั้น)•ทำอะไรได้ไม่นาน วอกแวก
ไม่มีสมาธิ•ไม่สามารถจดจ่อกับงานที่กำลังทำได้นานเพียงพอ•มักใจลอยหรือเหม่อลอยง่าย•เด็กเล็กๆจะเล่นอะไรได้ไม่นาน
เปลี่ยนของเล่นไปเรื่อยๆ•เด็กโตมักทำงานไม่เสร็จตามที่สั่ง
ทำงานตกหล่น ไม่ครบ ไม่ละเอียด
Hyperactivity (ซนอยู่ไม่นิ่ง)•ซุกซนไม่ยอมอยู่นิ่ง
ซนมาก•เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา•เหลียวซ้ายแลขวา•ยุกยิก แกะโน่นเกานี่•อยู่ไม่สุข ปีนป่าย•นั่งไม่ติดที่•ชอบคุยส่งเสียงดังรบกวนคนรอบข้าง
Impulsiveness (หุนหันพลันแล่น)•ยับยั้งตัวเองไม่ค่อยได้
มักทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด วู่วาม•ขาดความยับยั้งชั่งใจ•ไม่อดทนต่อการรอคอย
หรือกฎระเบียบ•ไม่อยู่ในกติกา•ทำอะไรค่อนข้างรุนแรง•พูดโพล่ง ทะลุกลางปล้อง•ไม่รอคอยให้คนอื่นพูดจบก่อน
ชอบมาสอดแทรกเวลาคนอื่นคุยกัน
สาเหตุ•ความผิดปกติของสารเคมีบางชนิดในสมองเช่น โดปามีน (dopamine) นอร์อิพิเนฟริน (norepinephrine)•ความผิดปกติในการทำงานของวงจรที่ควบคุมสมาธิ
และการตื่นตัว อยู่ที่สมองส่วนหน้า (frontal cortex)•พันธุกรรม•สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสมาธิสั้น•สมาธิสั้น
ไม่ได้เกิดจากความผิดของพ่อแม่ที่เลี้ยงดูลูกผิดวิธี ตามใจมากเกินไป
หรือปล่อยปละละเลยจนเกินไป และไม่ใช่ความผิดของเด็กที่ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ
แต่ปัญหาอยู่ที่การทำงานของสมองที่ควบคุมเรื่องสมาธิของเด็ก
ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
•อุจจาระ
ปัสสาวะรดเสื้อผ้า หรือที่นอน•ยังติดขวดนม หรือตุ๊กตา
และของใช้ในวัยทารก•ดูดนิ้ว กัดเล็บ•หงอยเหงาเศร้าซึม
การหนีสังคม•เรียกร้องความสนใจ•อารมณ์หวั่นไหวง่ายต่อสิ่งเร้า•ขี้อิจฉาริษยา ก้าวร้าว•ฝันกลางวัน
9.
เด็กพิการซ้อน (Children with Multiple
Handicaps
•เด็กที่มีความบกพร่องที่มากกว่าหนึ่งอย่าง
เป็นเหตุให้เกิดปัญหาขัดข้องในการเรียนรู้อย่างมาก•เด็กปัญญาอ่อนที่สูญเสียการได้ยิน•เด็กปัญญาอ่อนที่ตาบอด•เด็กที่ทั้งหูหนวกและตาบอด
ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
6.
เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ (Children with Learning
Disabilities) •เรียกย่อ ๆ ว่า L.D. (Learning
Disability)•เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้เฉพาะอย่าง•ไม่นับรวมเด็กที่มีปัญหาเพียงเล็กน้อยทางการเรียน
เด็กที่มีปัญหาเนื่องจากความพิการ หรือความบกพร่องทางร่างกาย สาเหตุของ LD•ความผิดปกติของการทำงานของสมองที่ไม่สามารถถอดรหัสตัวอักษรออกมาได้
(เชื่อมโยงภาพตัวอักษรเข้ากับเสียงไม่ได้)•กรรมพันธุ์
1. ด้านการอ่าน (Reading Disorder)•หนังสือช้า
ต้องสะกดทีละคำ•อ่านออกเสียงไม่ชัด
ออกเสียงผิด หรืออาจข้ามคำที่อ่านไม่ได้ไปเลย• ไม่เข้าใจเนื้อหาที่อ่าน
หรือจับใจความสำคัญไม่ได้
จาน------------------------------->ง่วง-------------------------------->เลย------------------------------->โบราณ----------------------------->หนังสือ--------------------------->อรัญ------------------------------>
ลักษณะของเด็ก LD ด้านการอ่าน•อ่านช้า อ่านคำต่อคำ
ต้องสะกดคำจึงจะอ่านได้•อ่านออกเสียงไม่ชัดเจน•เดาคำเวลาอ่าน•อ่านข้าม อ่านเพิ่มคำ
อ่านผิดประโยคหรือผิดตำแหน่ง•อ่านโดยไม่เน้นคำ
หรือเน้นข้อความบางตอน•ผันเสียงวรรณยุกต์ไม่ได้•ไม่รู้ความหมายของเรื่องที่อ่าน•เล่าเรื่องที่อ่านไม่ได้
จับใจความสำคัญไม่ได้2. ด้านการเขียน (Writing Disorder)•เขียนตัวหนังสือผิด
สับสนเรื่องการม้วนหัวอักษร เช่น จาก ม เป็น น หรือจาก ภ เป็น ถ เป็นต้น•เขียนตามการออกเสียง เช่น
ประเภท เขียนเป็น ประเพด•เขียนสลับ เช่น สถิติ
เขียนเป็น สติถิ
ลักษณะของเด็ก LD ด้านการเขียน•ลากเส้นวนๆ
ไม่รู้ว่าจะม้วนหัวเข้าในหรือออกนอก ขีดวนๆ ซ้ำๆ•เรียงลำดับอักษรผิด เช่น
สถิติ เป็น สติถิ•เขียนพยัญชนะหรือตัวเลขสลับกัน เช่น
ม-น, ภ-ถ, ด-ค, พ-ผ, b-d, p-q, 6-9•เขียนพยัญชนะ ก-ฮ ไม่ได้
แต่บอกให้เขียนเป็นตัวๆได้•เขียนพยัญชนะ หรือ
ตัวเลขกลับด้าน คล้ายมองจากกระจกเงา•เขียนคำตามตัวสะกด เช่น
เกษตร เป็น กะเสด
ลักษณะของเด็ก LD ด้านการเขียน (ต่อ)•จับดินสอหรือปากกาแน่นมาก•สะกดคำผิด
โดยเฉพาะคำพ้องเสียง ตัวสะกดแม่เดียวกัน ตัวการันต์•เขียนหนังสือช้าเพราะกลัวสะกดผิด•เขียนไม่ตรงบรรทัด
ขนาดตัวอักษรไม่เท่ากัน ไม่เว้นขอบ ไม่เว้นช่องไฟ•ลบบ่อยๆ
เขียนทับคำเดิมหลายครั้งลักษณะของเด็ก LD ด้านการคำนวณ•ไม่เข้าใจค่าของตัวเลขเช่นหลักหน่วยสิบร้อยพันหมื่นเป็นเท่าใด•นับเลขไปข้างหน้าหรือถอยหลังไม่ได้•คำนวณบวกลบคูณหารโดยการนับนิ้ว•จำสูตรคูณไม่ได้•เขียนเลขกลับกันเช่น13เป็น31•ทดไม่เป็นหรือยืมไม่เป็น•ตีโจทย์เลขไม่ออก•คำนวณเลขจากซ้ายไปขวาแทนที่จะทำจากขวาไปซ้าย•ไม่เข้าใจเรื่องเวลา4. หลายๆ ด้านร่วมกันอาการที่มักเกิดร่วมกับ LD•แยกแยะขนาดสีและรูปร่างไม่ออก•มีปัญหาความเข้าใจเกี่ยวกับเวลา•เขียน/อ่านตัวอักษรสลับซ้าย-ขวา•งุ่มง่ามการประสานงานของกล้ามเนื้อไม่ดี•การประสานงานของสายตา-กล้ามเนื้อไม่ดี•สมาธิไม่ดี (เด็ก LD ร้อยละ 15-20
มีสมาธิสั้น ADHD ร่วมด้วย)•เขียนตามแบบไม่ค่อยได้•ทำงานช้าอาการที่มักเกิดร่วมกับ LD (ต่อ)•การวางแผนงานและจัดระบบไม่ดี•ฟังคำสั่งสับสน•คิดแบบนามธรรมหรือคิดแก้ปัญหาไม่ค่อยดี•ความคิดสับสนไม่เป็นขั้นตอน•ความจำระยะสั้น/ยาวไม่ดี•ถนัดซ้ายหรือถนัดทั้งซ้ายและขวา•ทำงานสับสนไม่เป็นขั้นตอน7.
ออทิสติก (Autistic)•หรือ ออทิซึ่ม (Autism)•เด็กที่ไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น•ไม่สามารถเข้าใจคำพูด
ความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่น•ไม่สามารถที่จะสื่อสารกับคนรอบข้างและสังคม•เด็กออทิสติกแต่ละคนจะมีเอกลักษณ์ของตนเอง•ติดตัวเด็กไปตลอดชีวิต "ไม่สบตา ไม่พาที ไม่ชี้นิ้ว"•ทักษะภาษา•ทักษะทางสังคม•ทักษะการเคลื่อนไหว•ทักษะการรับรู้เกี่ยวกับรูปทรง
ขนาดและพื้นที่ ลักษณะของเด็กออทิสติก•อยู่ในโลกของตนเอง•ไม่เข้าไปหาใครเพื่อให้ปลอบใจ•ไม่เข้าไปเล่นในกลุ่มเพื่อน• ไม่ยอมพูด•เคลื่อนไหวแบบซ้ำๆ •ดูหน้าแม่•หันไปตามเสียง•เรียนรู้คำพูดเพิ่มเติม•ร้องเมื่อมีคนแปลกหน้าเข้าใกล้•จำหน้าแม่ได้•เปลี่ยนของเล่น•เคลื่อนไหวอย่างมีจุดมุ่งหมาย•สำรวจและเล่นตุ๊กตา•ชอบความสุขและกลัวความเจ็บเกณฑ์การวินิจฉัยออทิสติกองค์การอนามัยโลกและสมาคมจิตแพทย์อเมริกาความผิดปกติของปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอย่างน้อย
2 ข้อไม่สามารถใช้ภาษาท่าทางสื่อสารทางสังคมกับบุคคลอื่นไม่สามารถสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลให้เหมาะสมตามวัยขาดความสามารถในการแสวงหาการมีกิจกรรม ความสนใจ และความสนุก
สนานร่วมกับผู้อื่นขาดทักษะการสื่อสารทางสังคมและทางอารมณ์กับบุคคลอื่นความผิดปกติด้านการสื่อสารอย่างน้อย
1 ข้อมีความล่าช้าหรือไม่มีการพัฒนาในด้านภาษาพูดในรายที่สามารถพูดได้แล้วแต่ไม่สามารถที่จะเริ่มต้นบทสนทนาหรือโต้ตอบบทสนทนากับผู้อื่นได้อย่างเหมาะสมพูดซ้ำๆ หรือมีรูปแบบจำกัดในการใช้ภาษา
เพื่อสื่อสารหรือส่งเสียงไม่เป็นภาษาอย่างไม่เหมาะสมไม่สามารถเล่นสมมุติหรือเล่นลอกตามจินตนาการได้เหมาะสมกับระดับพัฒนาการมีพฤติกรรม
ความสนใจ และกิจกรรมที่ซ้ำๆ และจำกัด อย่างน้อย 1 ข้อ–มีความสนใจที่ซ้ำๆ อย่างผิดปกติ–มีกิจวัตรประจำวันหรือกฎเกณฑ์ที่ต้องทำโดยไม่สามารถยืดหยุ่นได้
ถึงแม้ว่ากิจวัตรหรือกฎเกณฑ์นั้นจะไม่มีประโยชน์–มีการเคลื่อนไหวร่างกายซ้ำๆ–สนใจเพียงบางส่วนของวัตถุ• พฤติกรมการทำซ้ำ•นั่งเคาะโต๊ะ
หรือโบกมือนานเป็นชั่วโมง•นั่งโยกหน้าโยกหลังเป็นเวลานาน•วิ่งเข้าห้องนี้ไปห้องโน้น•ไม่ยอมให้เปลี่ยนสิ่งแวดล้อม---------------------->
พบความผิดปกติอย่างน้อย
1 ด้าน (ก่อนอายุ 3 ขวบ)–ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม–การใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมาย–การเล่นสมมติหรือการเล่นตามจินตนาการ
Autistic
Savantกลุ่มที่คิดด้วยภาพ (visual thinker) จะใช้การการคิดแบบอุปนัย (bottom up thinking)กลุ่มที่คิดโดยไม่ใช้ภาพ
(music, math and
memory thinker) จะใช้การคิดแบบนิรนัย (top down thinking)